สรุปการเลือกเครื่องวัดสี 2024 สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

แชร์หน้านี้

        เครื่องวัดสีแต่ละรุ่น ล้วนมีความสามารถและฟังก์ชั่นต่างกัน การเลือกเครื่องวัดสีให้เหมาะกับการใช้งานหรือเลือกเครื่องวัดสีให้เหมาะกับตัวอย่างที่เราต้องการจะวัดค่าสี เพื่อให้ได้ค่าที่เหมาะสมและถูกต้องนั้นยังเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับใครหลายคน ที่กำลังจะตัดสินใจซื้อเครื่องวัดสีสักเครื่องนึง

ก่อนซื้อเครื่องวัดสีต้องรู้อะไรบ้าง ?

1. ต้องรู้จักลักษณะทางกายภาพของตัวอย่าง  เช่น พื้นผิวตัวอย่าง มีความมันเงาหรือไม่, พื้นผิวตัวอย่างเรียบหรือขรุขระ, ตัวอย่างมีความโค้ง หรือตัวอย่างมีความโปร่งแสงหรือไม่ เป็นเฉดสีลักษณะพิเศษหรือไม่ ลักษณะต่างๆเหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ตัดสินใจเครื่องวัดสีได้เหมาะสมกับงานมากขึ้น เพราะเครื่องวัดสีแต่ละรุ่นนั้นมีหลักการอ่านค่าสีต่างกัน มีพื้นที่การวัดไม่เท่ากัน เช่น การวัดค่าสีตัวอย่างโปร่งแสงจะเลือกใช้การวัดในโหมดการวัดการส่งผ่าน (Transmittance) ต่างจากตัวอย่างทึบแสงจะเลือกใช้การวัดในโหมดการสะท้อนแสง (Reflectance mode)

2. สิ่งสำคัญมากๆควรรู้ว่า ต้องการวัดค่าสีเป็นหน่วยอะไร (หน่วยที่นิยมมากที่สุดคือ L*a*b)

เนื่องจาก เครื่องวัดสีบางรุ่นนั้น อาจจะไม่สามารถวัดค่าสีได้ทุกหน่วย และในบางรุ่นสามารถวัดค่าสีได้ทุกหน่วย แต่ก็อาจจะเกินความจำเป็นที่จะใช้งาน แน่นอนว่าเครื่องวัดที่สามารถวัดได้ทุกหน่วยย่อมมีราคาที่สูงกว่า เครื่องวัดสีที่สามารถวัดได้บางหน่วย

(หากยังไม่รู้จักหน่วยสีต่างๆ อยากแนะนำให้อ่านเรื่องหน่วยสีเพิ่มเติมก่อนนะคะ หน่วยสีพื้นฐาน ตอนที่ 1 และ  หน่วยสีพื้นฐาน ตอนที่ 2)

3.บริการหลังการขาย

เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมากๆที่หลายคนอาจจะลืมเรื่องนี้ไป เครื่องวัดค่าสี 1 เครื่องมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5-10 ปีหรือมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับการใช้งาน แต่นอกจากการใช้งานแล้วการดูแลการเก็บรักษาเครื่องวัดสีเป็นเรื่องที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม มีหลายคนที่เลือกเครื่องวัดสีโดยไม่สนใจเรื่องบริการหลังการขาย เช่นการซ่อมบำรุง หรือ การสอบเทียบเครื่องวัดสีภายในประเทศ และบางห้องแลปไม่สามารถปรับค่าสีได้ตรงตามผู้ผลิตกำหนดได้ 

แน่นอนว่าเมื่อเครื่องไม่ได้รับการสอบเทียบการวัดสีอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดผลกระทบต่อการวัดค่าสีในเวลาต่อมา ทั้งค่าสีที่ถูกต้องไปจนถึงการควบคุมคุณภาพ หรืออีกกรณีคือเครื่องวัดสีชำรุด แต่ไม่มีอะไหล่สำหรับเปลี่ยนหรือซ่อมแซม ซึ่งอาจจะต้องนำเครื่องกลับไปประเทศผู้ผลิตหรือลงทุนซื้อเครื่องใหม่

(การสอบเทียบเครื่องวัดสีต่างจากการสอบเทียบเครื่องมือวัดทั่วไปอย่างไร อ่านเพิ่มเติม)
สรุปก่อนซื้อเครื่องวัดสีต้องรู้อะไรบ้าง ? 
  • ต้องรู้จักตัวอย่าง
  • ต้องรู้ว่าหน่วยสีที่ต้องการวัด หรือ จุดประสงค์ในการวัดค่าสี
  • บริการหลังการขาย
แล้วเครื่องวัดสี แบบไหนบ้างที่เหมาะกับการวัดสีสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์

การวัดสีในอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการวัดสีที่เคลือบบนตัวรถ, สีบนส่วนประกอบต่างๆทั้งภายนอกและภายในรถยนต์ ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านั้นบางชิ้นส่วนมีขนาดเล็ก บางชิ้นส่วนมีความโค้งและที่ยากและท้าทายมากกว่านั้นคือ สีพิเศษต่างๆ ที่นิยมกันในปัจจุบัน เช่นสีเมทัลลิค (METALLIC), สีมุก”(PEARL), สีแคนดี้ (CANDY COLOURS)

ทำไมการวัด สีเมทัลลิค (METALLIC), สีมุก”(PEARL), สีแคนดี้ (CANDY COLOURS) จึงเป็นเรื่องยากและมีความท้าทายมาก

เนื่องจากสีเหล่านี้มีความพิเศษ คือ ในเนื้อสีของสีเมทาลิค (METALLIC) จะมีผงโลหะ (ALUMINUM FLAKE) สามารถเพิ่มการสะท้อนแสงเมื่อมีแสงตกกระทบ ทำให้สะท้อนแสงและมีความแวววาวมากกว่าสีทั่วไป

สีลักษณะพิเศษแต่ละประเภทมีการสะท้อนแสงต่างกัน

สีมุก (PEARL) ใช้ผงเซรามิกคริสตัลแทนการใช้ผงโลหะ จึงทำให้สีที่ออกมาไม่เพียงแค่สะท้อนแสงแต่ยังมีการหักเหแสงด้วย ทำให้สีและความแวววาวแต่ละมุมไม่เหมือนกัน

การมองสีรถยนต์จะต้องควบคุมโดยการมองในหลายๆมุมมองเพื่อให้สอดคล้องกับการที่มองในหลายตำแหน่งของผู้ใช้รถจริง

ปัจจุบันเทคโนโลยีสีใหม่ๆในอุตสาหกรรมยานยนต์ มีการพัฒนาให้สีสวยงามมากขึ้นและมีมิติมากยิ่งขึ้น ในความสวยงามเหล่านั้นจะมีความซับซ้อนทำให้เกิดความท้าทายในการวัดค่าสีมากขึ้นตามไปด้วย

การเปลี่ยนสีหรือความสว่างต่างไป เมื่อเปลี่ยนมุมมองในการดูสี นั่นทำให้ไม่สามารถใช้ค่าสีจากการวัดสีมุมใด มุมนึงมาใช้ได้ จึงจำเป็นต้องใช้เครื่องวัดค่าสีที่สามารถวัดค่าสีได้หลายมุมมากขึ้น

ความมืด ความสว่างในแต่ละมุมไม่เท่ากัน

ปัจจุบันเครื่องวัดสีรุ่นใหม่ที่สามารถวัดได้หลายมุม อย่าง เครื่องวัดสีสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ รุ่น CM-M6
สามารถวัดสีที่มีความพิเศษเหล่านี้ ได้ถึง 6 มุมในการวัดเพียงครั้งเดียว ได้แก่ มุม -15˚, มุม 15˚, มุม 25˚, มุม 45˚, มุม 75˚และมุม 110 ˚

ระบบ Double-Path
นอกจากจะวัดค่าสีได้ทั้ง 6 มุม เครื่องวัดสี cm-m6 นี้ มี ระบบ Double-Path เป็นเทคโนโลยีที่นำ ระบบทางเดินแสงของแหล่งแสง กับ ระบบการรับแสงของเซ็นเซอร์ 2 ด้านมารวมกัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวัดค่าชิ้นงานที่มีผิวโค้งให้ดียิ่งขึ้น

ระบบ Double-Path
เครื่องวัดสีสเปกโตรโฟโตมิเตอร์ รุ่น CM-M6

ชิ้นส่วนต่างๆในอุตสาหกรรมยานยนต์ ไม่ได้มีแค่ชิ้นส่วนตัวรถยนต์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว ยังมีชิ้นส่วนเล็กๆ อย่างเช่น กระจกมองข้าง, มือจับเปิดประตู, เซ็นเซอร์ถอยท้าย และชุดแต่งกันชนเป็นต้น แม้ว่าชิ้นส่วนจะมีขนาดเล็กมากๆ แน่นอนว่าเมื่อประกอบทุกส่วนเข้าด้วยกันแล้ว ชิ้นเล็กๆเหล่านี้อาจจะเป็นจุดสะดุดตา หรือ จุดที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงการควบคุมคุณภาพเฉดสีของรถยนต์ที่ไม่เพียงพอของผู้ผลิตได้

เครื่องวัดสี CM-M6 มีพื้นที่การวัดค่าสี เพียง Ø 6 mm. ทำให้สามารถวัดค่าสีตัวอย่างที่มีขนาดเล็กได้ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องวัดสีที่สามารถวัดชิ้นงานขนาดเล็กได้ดีกว่า รุ่นทั่วไปในปัจจุบัน

หากจะลงทุนเครื่องวัดสีสักเครื่อง หรือกำลังหาเครื่องวัดสีที่เหมาะกับอุตสาหกรรมยานยนต์ แนะนำเป็นเครื่องวัดสี CM-M6 เนื่องจากเป็นเครื่องที่คลอบคลุมการวัดสีมากที่สุดสำหรับยานยนต์

สรุปจุดเด่นของ เครื่องวัดสี CM-M6
  • วัดได้ 6 มุม วัดสีลักษณะพิเศษได้ครอบคลุมมากที่สุด
  • วัดค่าสีได้แม่นยำ ได้ค่าสีที่นิ่งกว่า แม้ชิ้นงานจะมีความโค้ง
  • วัดชิ้นงานขนาดเล็กได้ ด้วยพื้นที่การวัดเพียง Ø 6 mm.

แม้ความสามารถของเครื่องวัดสี cm-m6 คลอบคลุมขนาดนี้ หลายคนอาจจะกำลังคิดว่า เครื่องจะใช้งานยุ่งยาก แต่ลองดูคลิปการใช้งานเครื่องวัดสี cm-m6 เบื้องต้นค่ะ จะเห็นว่าเครื่องวัดสีใช้งานง่ายมากๆ

หากอ่านถึงตรงนี้แล้ว ต้องการใช้เครื่องวัดสี CM-M6 วัดชิ้นงานจริงของท่าน หรือปรึกษาการวัดค่าสีชิ้นงานของท่านโดยเฉพาะ ทางเซ็นเทเซียมีทีมผู้เชี่ยวชาญเครื่องมือวัดสีและแสง สามารถติดต่อช่องทางการติดต่อด้านล่างค่ะ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ หรือกดเพิ่มเพื่อนใน Line เพื่อไม่พลาดข่าวสารหรืองานสัมมนาต่างๆของเราค่ะ

ได้ที่อีเมล [email protected]   เบอร์ 02-361-3730 

Line Official Account : @centasia หรือ สแกน QR code ด้านข้างนี้ค่ะ

สามารถติดตามช่อง Youtube ของเรา

เพื่อรับชมวิดีโอการสาธิตเครื่องมือ และการแนะนำการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องวัดสี คลิกที่นี้